ไทย-เขมร เห็นพ้องถอนอาวุธ “วินธัย” ย้ำกองทัพของไม่ขาด แต่ไม่ปฏิเสธน้ำใจประชาชน

ไทย-กัมพูชาเริ่มถอนอาวุธหนักชายแดนสร้างสันติภาพตามมติอาเซียน ด้านโฆษก ทบ.แจงชัด กองทัพของไม่ขาดแต่ขอบคุณทุกน้ำใจจากประชาชน และมีระบบตรวจสอบของบริจาคโปร่งใส

กองทัพภาคที่ 2 ของประเทศไทย เดินหน้าร่วมมือกับภูมิภาคทหารที่ 4 ของประเทศกัมพูชา ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย–กัมพูชา (RBC) สมัยพิเศษ ว่าด้วยการถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง โดยมี พล.ท.วีระยุทธ รักษ์ศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 และ พล.ท.โปว เฮง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา เป็นประธานร่วม พร้อมคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) จากทั้งสองประเทศร่วมตรวจสอบอย่างใกล้ชิด

การประชุมครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากมติของ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย–กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 และเป็นไปตามแนวทางใน ถ้อยแถลงร่วมของผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ที่จัดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 โดยมีนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ไทย มาเลเซีย และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการ่วมลงนาม แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้างความโปร่งใส และความไว้วางใจด้านความมั่นคงในภูมิภาค

ทั้งสองประเทศได้ตกลงดำเนินการถอนอาวุธหนักในลักษณะ “เป็นระยะ (Phased Removal)” เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและเสถียรภาพตามแนวชายแดน โดยได้จำแนกอาวุธออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ประเภท A ระบบจรวดหลายลำกล้องตั้งแต่ 2 ลำกล้องขึ้นไป ประเภท B ระบบปืนใหญ่ทุกชนิด ทั้งลากจูงและอัตราจร เช่น ขนาด 105 มม. 122 มม. 130 มม. 152 มม. และ 155 มม. และประเภท C รถหุ้มเกราะและรถถัง ซึ่งมีสมรรถนะด้านการป้องกันและอำนาจการยิงสูง

การถอนอาวุธระยะที่ 1 ครอบคลุมอาวุธประเภท A จะดำเนินการระหว่างวันที่ 1–21 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้การสังเกตการณ์ของ AOT ก่อนเข้าสู่ระยะที่ 2 ซึ่งจะครอบคลุมอาวุธประเภท B ระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน–12 ธันวาคม 2568 ขณะที่การดำเนินการในระยะที่ 3 สำหรับอาวุธประเภท C จะมีการกำหนดวันประชุมร่วมเพิ่มเติมในลำดับต่อไป

โดยทั้งสองฝ่ายยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันในการเคารพซึ่งกันและกัน และปฏิบัติตามผลการประชุม GBC รวมถึงถ้อยแถลงร่วมอย่างเคร่งครัด หากมีฝ่ายใดบิดเบือนข้อมูลหรือปกปิดจำนวนและประเภทของอาวุธ จะถือเป็นการกระทำที่ไม่จริงใจต่อกระบวนการสร้างสันติภาพ

อีกด้านหนึ่ง พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ออกมาชี้แจงต่อกระแสสังคม กรณีถ้อยคำ “กองทัพไม่ขาดแคลน” ว่า หมายถึงสิ่งอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อภารกิจทางทหาร ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธน้ำใจจากประชาชน พร้อมยืนยันว่า กองทัพมีระบบตรวจสอบสิ่งของที่ได้รับบริจาคอย่างรอบคอบ และจะรายงานให้ส่วนกลางทราบเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย

สำหรับข้อกังวลจากสังคมที่ต้องการให้มีการตรวจสอบและจัดทำรายการสิ่งของที่ได้รับมอบอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ส่วนตัว กองทัพเห็นด้วยและได้ดำเนินการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในส่วนกลางได้มีการบันทึกหลักฐานการรับมอบสิ่งของไว้อย่างละเอียด พร้อมจัดให้มีพิธีรับมอบและแสดงความขอบคุณต่อผู้มีจิตศรัทธาทุกรายอย่างเหมาะสม ส่วนในระดับภูมิภาคและระดับหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย จะมีการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำส่งให้ส่วนกลางทราบต่อไป ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่ได้รับในนามหน่วยหรือนามส่วนตัว ล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจและได้รับการขอบคุณจากกองทัพทั้งสิ้น

โฆษกกองทัพบก ย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความเข้าใจอันดีและความสามัคคีของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ควรตีความถ้อยคำไปจากเจตนาที่แท้จริง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *