จากกรณีที่ครอบครัวของนายภูริส อายุ 23 ปี เข้าร้องขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชน หลังนายภูริสถูกตำรวจ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ออกหมายจับและฝากขังเมื่อวันที่ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา ในคดีพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยมีและใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุ ทั้งๆ ที่นายภูริสไม่มีความเกี่ยวข้อง ไม่รู้จักกับทั้งผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้ก่อเหตุของคดีดังกล่าว
ล่าสุดวันนี้ มีรายงานว่าหลังจากทราบข้อเท็จจริงในคดีและติดตามรวบรวมหลักฐานจนแน่ชัดว่านายภูริสไม่ใช่ผู้ก่อเหตุตัวจริง พ.ต.อ.กิตติชัย ไกรนรา ผู้กำกับการ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี รวมทั้งชุดสืบสวนเจ้าของรายงานการสืบสวนในการออกหมายจับให้รวบรวมหลักฐานเข้ายื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อขออำนาจศาลปล่อยตัวนายภูริส ผู้ต้องหาแพะในคดีนี้ทันที หลังจากศาลได้พิจารณาแล้วได้อนุมัติหมายปล่อยตัวส่งไปยังเรือนจำทัณฑสถานวัยหนุ่มนครศรีธรรมราช เพื่อปล่อยตัว
โดยที่ทัณฑสถานวัยหนุ่มนครศรีธรรมราช ครอบครัวของนายภูริส ทั้งแม่ ลุง และภรรยา และกลุ่มเพื่อนได้มารอรับนายภูริสด้วยความดีใจ หลังมีผู้หวังดีไปแจ้งข่าวการปล่อยตัวให้ทางครอบครัวทราบ ส่วนตำรวจที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ไม่มีการแจ้งข้อมูลใดๆ มายังครอบครัวของนายภูริสเลย
เจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัวนายภูริสออกจากประตูเรือนจำในเวลา 13.10 น. เห็นได้ชัดว่านายภูริสมีรูปร่างใหญ่มากน้ำหนักถึง 130 กก.สูง 180 ซม. เป็นคนละคนกับผู้ก่อเหตุที่ปรากฎในกล้องวงจรปิดอย่างเห็นได้ชัด หลังจากออกมามีแม่โผเข้ากอดลูกชายทั้งน้ำตา และนายภูริสได้ตรงเข้ากราบเท้านายบุญเสริม ลุงที่คอยประสานงานให้ความช่วยเหลือและเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าวเปิดเผยข้อเท็จจริงเรื่องนี้จนนำไปสู่การยื่นคำร้องขอปล่อยตัว
นายภูริส เปิดเผยว่าวันที่ถูกจับกุมนั้นอยู่ที่ขนอมเมื่อ 11 เม.ย.หลังจากที่ถูกคุมมาถึง สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้ถูกสอบสวนสวนและถามเชิงข่มขู่ว่าไปก่อเหตุยิงคนอื่น ตัวเองได้ปฏิเสธไปทั้งหมดยืนยันว่าไม่รู้เรื่อง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่รู้จัก
“ผมเกี่ยวข้องกับที่เกิดเหตุเพียงอย่างเดียวคือขับรถผ่านเวลาประมาณ 19.30 น.ไปนอนที่บ้าน จากนั้นออกจากบ้านอีกครั้งในเวลาประมาณ 23.00 น.ตำรวจไม่ฟังอะไร ไม่มีหลักฐาน และไม่หาหลักฐานใดๆเอาผมไปพิมพ์มือแล้วยัดคุกตั้งแต่วันนั้น ผมต้องทนทุกข์ทรมานเครียดมาก ผมขอฟ้องตำรวจที่เกี่ยวข้องทำให้ผมต้องติดคุกยัดคดีให้ผม ผมขอให้รับผิดชอบ” ผู้ต้องหารายนี้ยืนยัน
เช่นเดียวกับนายบุญเสริม ประธานชุมชนต้นหว้า ผู้เป็นลุงของนายภูริส ระบุว่าได้ยืนยันมาตั้งแต่ต้นพร้อมทั้งหลักฐานตำรวจไม่ฟัง และไม่รับรู้ จนกระทั่งมาถูกจับและถูกขังอยู่ถึง 6 วัน ความเดือดร้อนมีทั้งทั้งครอบครัวต้องดิ้นรนหาทางช่วยเหลือเหลือ เสียเงินเสียทอง ที่สำคัญคือทำให้นายภูริสมีความเสี่ยงเสียประวัติ สมัครงานยาก ทั้งที่ไม่ได้ก่อเหตุใดๆ เลย ส่วนตนเองหยุดงานมาทั้งอาทิตย์แล้วเพื่อพยายามวิ่งเต้นช่วยหลาน ตนอยากรู้ว่าตำรวจคนไหนจะรับผิดชอบ