6 เม.ย. 2568
–
16:52 น.
Forbes สื่อธุรกิจดังสหรัฐฯ วิเคราะห์ว่า นโยบายการขึ้นภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จะทำให้สินค้าอย่าง iPhone แพงขึ้น 40%
โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ว่า จะมีการบังคับใช้ภาษีนำเข้าจำนวนมากกับสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนเป็นต้นไป ภาษีเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อซัพพลายเชนของ Apple โดย iPhone และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ จากจีน อินเดีย และเวียดนาม จะต้องเผชิญกับภาษี 54%, 26% และ 46% ตามลำดับ
ทำให้ Forbes นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจและการเงินในสหรัฐอเมริกา คาดการณ์ว่า สินค้าหลายอย่างอาจมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าของ Apple อย่าง iPhones, Apple Watche, iPad, Airpod และ Mac Computer อาจมีราคาสูงขึ้นจากเดิมตั้งแต่ 39% ไปจนถึง 43%… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่
หมิง-ชิ กัว นักวิเคราะห์ซัพพลายเชนของ Apple ได้กล่าวว่า หาก Apple ไม่ขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของบริษัทอาจลดลงอย่างมากถึง 8.5% ถึง 9% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม เขาได้เสนอแนวทาง 5 ประการที่ Apple สามารถใช้เพื่อลดผลกระทบของภาษีต่ออัตรากำไรขั้นต้นในอนาคต
เพิ่มกำลังการผลิต iPhone ในอินเดีย: หากอินเดียได้รับการยกเว้นภาษีผ่านข้อตกลงทางการค้าใหม่กับสหรัฐฯ และ Apple เพิ่มกำลังการผลิต iPhone ในอินเดียให้เกิน 30% ของอุปทานทั่วโลก ผลกระทบเชิงลบต่ออัตรากำไรขั้นต้นอาจลดลงเหลือเพียง 1% ถึง 3%
ขึ้นราคา iPhone รุ่น Pro: ในตลาดสหรัฐฯ iPhone ระดับไฮเอนด์คิดเป็น 65-70% ของยอดขายรุ่นใหม่ “ผู้บริโภคระดับไฮเอนด์ยอมรับการขึ้นราคาได้มากกว่า” ดังนั้น รุ่น Pro และ Pro Max อาจมีการขึ้นราคาหากจำเป็น
เพิ่มเงินอุดหนุนจากผู้ให้บริการเครือข่ายสำหรับ iPhone: Apple อาจเลือกที่จะเพิ่มเงินอุดหนุนที่มอบให้กับผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือสำหรับ iPhone วิธีนี้จะเกี่ยวข้องกับการดูดซับต้นทุนภาษีบางส่วน เพื่อรักษาราคาที่แข่งขันได้สำหรับผู้บริโภค ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรระยะสั้น
ลดมูลค่าการแลกเปลี่ยน (Trade-in): มาตรการชดเชยต้นทุนอีกประการหนึ่งคือการปรับโปรแกรมการแลกเปลี่ยนของ Apple โดยการลดมูลค่าที่เสนอสำหรับอุปกรณ์รุ่นเก่า Apple สามารถชดเชยต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นได้บางส่วน
กดดันซัพพลายเออร์ให้ลดต้นทุนมากขึ้น: Apple อาจเพิ่มแรงกดดันต่อเครือข่ายซัพพลายเออร์ที่กว้างขวาง เพื่อให้บรรลุการลดต้นทุนเพิ่มเติม กลยุทธ์นี้ แม้ว่าจะมีศักยภาพในการมีประสิทธิภาพ แต่ต้องมีการเจรจาอย่างรอบคอบ และอาจมีผลกระทบระยะยาว… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่